วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

โยคะใบหน้า

โยคะใบหน้า สาวอ่อนวัย

แน่นอนว่าใคร ๆ ก็อยากเป็นเจ้าของใบหน้าสวยอ่อนเยาว์ วันนี้คู่หูเดินทางมีตัวช่วยในการออกกำลังกายใบหน้ามาฝาก เพื่อให้หนุ่มสาวชาวคู่หูเดินทางดูสดใส ปิ๊งปั๊งกันตลอดเวลาแม้ในยามเดินทาง


ท่าที่ 1 ท่ากลางหน้าผาก ให้วางนิ้วชี้ไว้ที่โคนผมกลางหน้าผาก นิ้วนางวางบนหว่างคิ้ว ตรึงไว้ แล้วหายใจเข้า ตามองต่ำ เพื่อเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตา ใช้นิ้วกลางกดน้ำหนักบนกล้ามเนื้อ ลูบจากบนลงล่างช้า ๆ แล้วหายใจออก จากนั้นเลื่อนมือออกด้านข้าง เพื่อยืดกล้ามเนื้อซ้ายและขวา


ท่าที่ 2 ท่ากล้ามเนื้อระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วกลางหรือนิ้วชี้ วางที่หว่างคิ้ว และกดไล่ออกจนถึงกึ่งกลางของคิ้ว


ท่าที่ 3 ท่ากล้ามเนื้อจมูก ท่าแรกใช้นิ้วลูบสันจมูกจากบนลงล่าง ท่าสองใช้นิ้วลูบจากดั้งจมูกออกไปทางโหนกแก้ม


ท่าที่ 4 ท่ากล้ามเนื้อรอบดวงตา ใช้นิ้วลูบรอบดวงตา ทั้งด้านบนและด้านล่าง


ท่าที่ 5 ท่ากล้ามเนื้อรอบริมฝีปาก ใช้นิ้วมือซ้ายกดที่มุมปากด้านขวาเพื่อตรึงผิว ใช้มือขวากดและลูบออกไปใน 4 ทิศทาง ท่าละ 3-5 ครั้ง ได้แก่ เฉียงขึ้นบนไปทางไรผม ด้านข้างตรงไปถึงติ่งหู เฉียงลงทางขากรรไกร และลงมาที่ปลายคาง โดยทำทั้ง 2 ข้าง


ท่าที่ 6 ท่ากล้ามเนื้อคอ ใช้ 2 มือ กดบริเวณไหปลาร้า แล้วยึดลำคอขึ้นใน 3 ทิศทาง คือ ตรงเหมือนแหงนหน้าขึ้น ยืดซ้ายและยืดขวา หลังการยืดกล้ามเนื้อ เข้าสู่การออกกำลังกล้ามเนื้อเต็มที่ โดยย่นหน้าผากหลับตาปี๋ ยิ้มให้กล้ามเนื้อที่แก้มทำงาน ปฏิบัติท่าละ 3 ครั้ง เมื่อเสร็จแล้วปิดท้ายด้วยการยึดกล้ามเนื้ออีกครั้ง


เมื่อทำเป็นประจำกล้ามเนื้อบนใบหน้าจะรู้สึกผ่อนคลายระบบการไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่ง



วิธีทำใจทนทำงานก่อนเปลี่ยนงานใหม่



หากกำลังเบื่องานที่ทำในตอนนี้สุดขีดแต่จำต้องทน และรอเพราะยังไม่มีอะไรดีไปกว่านี้หรือเปล่า มีคนจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่กำลังรอจังหวะ เพื่อเปลี่ยนงานเสมอถ้ามีโอกาส จากสถิติในสหรัฐอเมริกา พบว่าคนทำงานอย่างน้อย 54% พร้อมจะลาออกจากที่ทำงานเดิมในทันที และที่น่าแปลกใจคือผู้หญิงมักจะเปลี่ยนงานบ่อยกว่า และมีความอดทนในการรอคอยน้อยกว่าผู้ชาย

จอยซ์ จีโอยา ผู้เชี่ยวชาญแห่ง Strategic business futurist บอกว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณตัดสินใจจะเปลี่ยนงาน นั่นเท่ากับว่าคุณหมดแรงจูงใจในการทำงานเดิมแล้ว ยิ่งคุณคิดถึงสิ่งที่จะเป็นไปได้ สิ่งที่จะมีในอนาคตมากเท่าไหร่ก็เท่ากับว่าคุณยิ่งดึงตัวเองออกจากงานที่ทำ ณ ปัจจุบันมากเท่านั้น เพราะคุณจะมองทุกอย่างติดลบไปหมด...งานน่าเบื่อ, หัวหน้าไม่ดี, เพื่อนร่วมงานน่าเซ็ง ฯลฯ

และความคิดเหล่านี้จะคอยกัดกินความตั้งใจซึ่งจะส่งผลต่องาน ซึ่งหากคุณมีที่หมายใหม่แล้วก็นับถอยหลังได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ใช่และยังต้องทนอยู่กับงานเดิม หัวหน้าคนเดิมและเพื่อนร่วมงานเดิม ๆ ต่อไปอีกโดยไม่มีกำหนดเวลาและไม่มีที่ไป หนทางได้แนะนำวิธีที่จะสร้างแรงกระตุ้นให้ตัวเองเพื่อรับมือสภาวการณ์ที่น่าพะอืดพะอมในใจคุณไว้ดังนี้


1. ฝึกตัวเองให้มีสมาธิกับสิ่งที่ทำ ณ ปัจจุบัน ลองหัดสังเกตสิ่งที่คุณคิดในแต่ละช่วงเวลา และพิจารณาดูว่าอารมณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร อย่าตัดสินตัวเองในขณะที่สมองกำลังล่องลอย แต่เรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทั้งจิตใจและอารมณ์ของคุณ เป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกตื่นเต้นหรือวิตกกังวล หรืออาจเป็นทั้งสองอย่างเมื่อคิดเรื่องการเปลี่ยนงาน จากนั้นลองใคร่ครวญสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคุณ ผู้คน สิ่งของบนโต๊ะ หรือแม้แต่งานที่คุณต้องใส่ใจ แล้วตั้งสมาธิกับสิ่งนั้นเพื่อความสุขหรือการเรียนรู้ ณ ช่วงเวลานั้น


2. ถามตัวเองว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อสร้างรากฐานสำหรับงานในอนาคต สิ่งที่ทำ ณ ปัจจุบันจะช่วยคุณในอนาคตได้อย่างไร งานในตอนนี้ของคุณเป็นเสมือนห้องทดลองของการเรียนรู้ ศึกษางานที่ทำ คิดต้นบทสนทนากับผู้คนที่สามารถช่วยเหลือคุณให้เข้าใจงานหรือธุรกิจในภาพที่กว้างกว่า แล้วดูว่าสิ่งที่คุณได้ในวันนี้จะช่วยให้วันพรุ่งนี้ง่ายขึ้นอย่างใด


3. เปลี่ยนแปลงตารางงานเพื่อความแตกต่าง ลองเปลี่ยนแปลงตารางการทำงานของคุณดูบ้าง เช่นเคยเดินทางมาทำงานในเวลา 07.00 น. ทุกวันก็ลองเปลี่ยนมาออกเดินทางตอน 06.00 น. ดูบ้างหรือหากคุณต้องเสียเวลากับการแต่งหน้าทำผมนานนับชั่วโมงกว่าจะออกจากบ้าน ลองเปลี่ยนสไตล์ที่จะช่วยให้คุณใช้เวลากับมันน้อยลง เพื่อจะได้มีเวลาทำสิ่งอื่น ๆ ที่แตกต่างบ้าง เมื่อถึงที่ทำงานแทนที่คุณจะเริ่มต้นด้วยการก้มหน้าก้มตาเช็คอีเมล์ก็ลองคุยกับเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้าง ๆ หรือคนที่คุณไม่ค่อยได้คุยด้วย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้สึกแตกต่างไม่ซ้ำซากจำเจ ซึ่งจะเป็นการสร้างแรงผลักดันในทางอ้อมได้


4. สวมวิญญาณนักผจญภัย ก่อนออกจากบ้านในแต่ละวัน ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักผจญภัยที่จะต้องไปพบเจอเรื่องน่าตื่นเต้น พบสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาและในวันนี้จะมีอะไรที่จะถือเป็นที่สุดของแต่ละวันหรืออาจจะของชีวิตคุณได้บ้าง มองแต่ละวันที่ผ่านไปว่าเป็นการผจญภัยที่เต็มไปด้วยสิ่งน่าค้นหา การเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้จะทำให้ชีวิตของคุณน่าตื่นเต้นกระตือรือร้น กระชุ่มกระชวย มีแต่เรื่องบวกที่จะทำให้คุณมีความสุขอยู่กับงานได้จนกว่าจะมีโอกาสดี ๆ ใหม่ ๆ เข้ามา

3 ปัจจัยเสี่ยงโรคริดสีดวง

3 ปัจจัยเสี่ยงโรคริดสีดวง (Woman Plus)



เรื่อง : Booz-zaa



ใครจะเชื่อว่า การนั่งทำงานอย่างทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่ลุกเดินไปไหน จะเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคริดสีดวงทวาร ที่สร้างความทรมานให้กับสาว ๆ วัยทำงานโดยไม่รู้ตัว

อีกทั้งการมีนิสัย และพฤติกรรมบางอย่าง ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคนี้ด้วยเช่นกัน ฉะนั้นสาว WP คนไหนที่ไม่อยากเสี่ยงกับโรคนี้ ควรเลิกพฤติกรรมเหล่านี้โดยด่วน!!

1. กินอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "อาหารขยะ" ซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากความรีบเร่งที่ต้องทำงานให้เสร็จทันเวลา เมนูอาหารขยะแบบอเมริกันจึงเป็นคำตอบสุดท้ายที่ถูกเลือก นั่นหมายความว่า ร่างกายของคุณจะได้รับสารอาหารจำพวกกากใยอาหารจากผัก และผลไม้น้อยเกินไป ส่งผลให้เกิดปัญหาท้องผูกตามมาในที่สุด

2. น้ำหนักเกินมาตรฐาน เป็นผลมาจากการนั่งทำงาน โดยไม่มีการขยับร่างกาย หรือเคลื่อนไหวไปไหนมาไหน ร่างกายไม่ได้ออกกำลัง แถมยังต้องแบกรับน้ำหนักตัวเองทั้งหมดไว้ที่เท้า นอกจากจะทำให้คุณผู้หญิงเป็นโรคอ้วนแล้ว ยังถูกโรคริดสีดวงถามหาอีกด้วย ทางที่ดีควรลุกออกจากเก้าอี้ และหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วยืดเส้นยืดสายดูบ้างนะคะ

3. ท้องผูกเรื้อรัง เนื่องจากระบบขับถ่ายผิดปกติ ซึ่งเกิดจากนิสัยการกินที่ไม่สนใจใยดีผัก ผลไม้ บวกกับการนั่งทำงานหนักทั้งวัน ชนิดหามรุ่งหามค่ำ ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ระบบขับถ่ายจึงทำงานผิดปกติ ไม่มีการขับถ่ายตอนเช้า เกิดการสะสมของเสียไว้ในร่างกาย ฉะนั้นสาว ๆ ที่กำลังมีพฤติกรรมเช่นนี้ ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ก่อนที่โรคริดสีดวงจะถามหาในเร็ววัน

ทั้งนี้ "โรคริดสีดวงทวาร"' เกิดจากกลุ่มหลอดเลือด และเนื้อเยื่อบริเวณลำไส้ตรง หรือบริเวณรูทวารมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดดำที่ขยายใหญ่ขึ้น เกิดการโป่งพอง ยื่นออกมาให้เห็นเป็นหัว เรียกว่า "ริดสีดวง" ซึ่งอาจจะมีหลายหัว หรือหัวเดียวก็ได้ เมื่อนั่งจะทำให้เกิดการกดทับเนื้อที่ยื่นออกมาเป็นติ่ง ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และเจ็บคัน

ประหยัดพลังงานและวิธีลดโลกร้อนง่าย ๆ

ประหยัดพลังงานและวิธีลดโลกร้อนง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันโลกของเราร้อนขึ้นทุกวัน ๆ ส่งผลให้คนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านได้นาน ๆ เหมือนแต่ก่อน ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างเช่น แอร์ พัดลม ช่วยเพิ่มความเย็น และยิ่งโลกร้อนขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่า ผู้คนบนโลกยิ่งใช้พลังงานทำลายชั้นบรรยากาศของโลกมากขึ้นเท่านั้น . . . วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยมีวิธีดี ๆ ในการประหยัดพลังงานทุก ๆ อย่างในชีวิตประจำวันมาฝากกัน ที่จะช่วยให้คุณเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดโลกร้อน ด้วยการเริ่มต้นประหยัดพลังงานกันตั้งแต่ในบ้านไป จนถึงที่ทำงานเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่า คุณสามารถช่วยลดโลกร้อนในแต่ละวันอย่างไรได้บ้าง

พลังงานความร้อนและไฟฟ้า

1. ติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนฝ้าเพดานบ้าน เพื่อลดความร้อนและทำให้บ้านเย็น
2. ตั้งตู้เย็นไว้ในที่ที่ใกล้กับประตูหน้าต่าง เพื่อความร้อนที่ระบายออกมาจะได้ไม่สะท้อนกลับไปในห้องครัว และยังช่วยประหยัดไฟอีกด้วย
3. ในฤดูหนาวควรเปิดหน้าต่างให้ความเย็นเข้ามาในห้องตอนกลางคืน และปิดหน้าต่างตอนเช้า เพื่อให้ความเย็นภายในห้อง ไม่ถูกแทนที่ด้วยความร้อนจากแสงแดดตอนกลางวัน
4. คุณสามารถลดความร้อนในบ้านได้ถึง 50% หากติดกระจกแบบสองชั้น เพราะจะสามารถกันความร้อนได้ และช่วยคุณประหยัดไฟฟ้าได้อีก
5. เปิดแอร์ที่ 25 องศาเสมอ เพราะเป็นอุณหภูมิที่สบายที่สุด ที่คุณไม่ต้องนอนห่มผ้าตากแอร์เลย
6. ติดตั้งระบบไฟฟ้าหมุนเวียนภายในบ้าน
7. เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเกรด A ที่ไม่กินไฟ
8. เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟฟ้าแบบประหยัดไฟ
9. อย่าใช้เครื่องปั่นผ้าในวันที่ฟ้าใส และแดดจัด เพราะอุณหภูมิของโลก สูงพอจะทำให้ผ้าแห้งได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงอยู่แล้ว
10. เสื้อผ้าน้อยชิ้นควรซักเองด้วยมือ ส่วนเครื่องซักผ้าควรใช้ในวันที่มีเสื้อผ้าเต็มตะกร้า
11. หากคุณต้องเปิดไฟในสวนหน้าบ้านทุกคืน ควรใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ชาร์จพลังงานตอนกลางวัน และเปิดไฟตอนกลางคืน
12. ถอดสายชาร์จโทรศัพท์มือถือออกจากเบ้าเสียบทุกครั้งที่ชาร์จเสร็จ เพราะมันกินไฟโดยเปล่าประโยชน์

พลังงานน้ำ

13. ตรวจสอบรอยรั่วของท่อประปา หรือรอยรั่วก๊อกน้ำแล้วอุดรอยรั่วนั้นให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้มันหยดทิ้งแม้น้อยนิดก็ตามที
14. หากคุณจะต้มน้ำ ควรใช้หม้อต้มน้ำที่พอดีกับปริมาณน้ำที่ต้องการใช้ เพราะขนาดภาชนะที่ใหญ่เกินไป มักจะทำให้เราใช้น้ำเกินความต้องการเสมอ
15. เวลาที่ชงชา ต้มน้ำในปริมาณที่คุณจะใช้เท่านั้น แม้มันจะดูน้อยนิดเกินไป แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้น้ำร้อนที่เหลือจากการชงชาค่อย ๆ เย็นโดยไม่ได้ใช้อะไรเลย
16. ปิดก๊อกน้ำทุกครั้งขณะที่คุณกำลังแปรงฟัน
17. ใช้ถังชักโครกที่ประหยัดน้ำ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำไปกับการชำระล้างโถส้วม เกินความจำเป็น
18. ใช้ฝักบัวอาบน้ำแทนการนอนแช่น้ำในอ่าง เพราะมันเปลืองน้ำกว่ามาก ๆ

อาหารและตู้เย็น

19. ตั้งตู้เย็นให้ห่างจากผนังด้านละประมาณ 15 เซนติเมตร เพื่อให้ได้ระบายความร้อนได้สะดวก
20. ละลายน้ำแข็งในตู้เย็นเป็นประจำ
21. อย่าเปิดตู้เย็นทิ้งไว้เป็นเวลานานเกินไป เพราะจะทำให้ความเย็นระบายออกมาหมดและทำให้ตู้เย็นทำงานหนัก กินไฟมาก
22. ไม่ควรนำอาหารอุ่น ๆ หรือร้อนแช่ตู้เย็นเป็นอันขาด ควรวางไว้ให้เย็นก่อนแล้วค่อยนำเข้าตู้เย็นอีกครั้ง
23. ซื้ออาหารที่มีในท้องถิ่น เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องซื้อในปริมาณเยอะ ๆ แล้วนำมาตุนไว้ในช่องแช่แข็งจนไม่มีที่ว่าง

พลังงานขณะขับรถ

24. วางแผนการเดินทางทุกครั้งก่อนออกรถ เพื่อจะได้ไม่ต้องขับวนไปวนมาคิดซ้ายคิดขวาว่าจะไปทางไหนดี
25. ขับรถด้วยความเร็วที่คงที่เสมอ ที่สำคัญไม่ควรขับเร็วเกินความจำเป็นด้วย
26. ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้สักครู่ ก่อนออกรถ
27. ในกรณีที่รถติดไฟแดงในแยกที่รถติดนานกว่า 2 นาทีขึ้นไป ควรดับเครื่องยนต์ก่อนแล้วค่อยสตาร์ทใหม่
28. ไม่ควรเปิดแอร์ในรถเย็นเกินไป ใช้อุณหภูมิที่พอเหมาะเท่านั้น
29. หากต้องเดินทางไปสถานที่ใกล้ ๆ ที่ห่างจากบ้านไม่เกิน 5 กิโลเมตร ควรใช้วิธีเดินหรือปั่นจักรยานดีกว่า
30. อุปกรณ์แต่งรถหลาย ๆ อย่าง สามารถกินพลังงานเกินความจำเป็นได้ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องบอกทาง เป็นต้น
31. นำรถเข้าอู่เป็นประจำ เพื่อเช็คสภาพและการทำงานต่าง ๆ ของรถ

พลังงานขณะทำงาน

32. แม้ว่าคุณจะไม่ได้จ่ายค่าไฟที่ทำงานเอง แต่ก็ควรใช้ไฟเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยปิดไฟดวงที่ไม่ใช้หรือในห้องที่ไม่มีใครอยู่ เพื่อช่วยโลกประหยัดไฟ
33. ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อคุณต้องลุกออกไปที่ไหนนาน ๆ เช่น ทานข้าว ไปประชุม หรือแม้แต่ออกไปยืดเส้นยืดสาย
34. ใช้กระดาษทั้งสองหน้า อย่าใช้เพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
35. หากสามารถเปิดหน้าต่างได้ ควรหลีกเลี่ยงการเปิดแอร์ในวันที่อากาศสบาย ๆ
36. ควรใช้ลิฟต์ในออฟฟิศพร้อม ๆ กับคนอื่น ขณะเดียวกัน คุณสามารถเดินขึ้นบันไดได้หากห้องทำงานของคุณไม่ได้อยู่สูงถึงชั้น 7
37. สำหรับข้อมูลบางอย่างที่สามารถอ่านผ่านคอมพิวเตอร์ได้ บางครั้งคุณก็ไม่จำเป็นต้องปรินท์เอาท์ออกมา


และนี่ก็คือวิธีง่าย ๆ ในการช่วยลดโลกร้อนที่ไม่ว่าใคร ๆ ก็ทำได้ ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตระหนักถึงคุณค่าของพลังงานและภาวะโลกร้อน เริ่มต้นประหยัดพลังงานกันตั้งแต่วันนี้นะคะ อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยยืดเวลาให้โลกไม่ร้อนไปกว่านี้ได้ไม่น้อยเลยล่ะ

ข้าวกล้องมีอะไรดี


ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย คนไทยกินข้าวทุกวัน วันละหลายมื้อ
แต่เรากลับให้ความสนใจในเรื่องข้าวน้อยมาก
ข้าวที่บริโภคอยู่ทุกวันนี้มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ไม่ว่าจะเป็นข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียว ทุกครัวเรือนก็นิยมข้าวที่ชัดสีจนขาวสะอาด ข้าวที่ขัดสีจนขาวสะอาด สวยใคร ๆ ก็ต้องบอกว่ามันอร่อย นุ่ม น่ากินกว่าข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสีเป็นไหน ๆ ยิ่งในปัจจุบันเป็นยุคไฮเทค ทุกอย่างเครื่องจักรล้วนเนรมิตได้ จะสีให้ขาวสะอาด ขนาดไหนได้ทั้งนั้น


แต่คนกินจะรู้บ้างไหมว่า ข้าวที่ชัดเจนขาวสวยที่เรากินอยู่ทุกวี่ทุกวันนี้ เป็นข้าวที่ต้องสูญเสียสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ทั้งโปรตีน วิตามิน กากใย และเกลือแร่ต่าง ๆ หลายสิบชนิด ยิ่งขัดสีกันมากเท่าไร ส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวภายในเปลือกที่มีสีน้ำตาลแดง พร้อมทั้งจมูกข้าว ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารก็จะถูกขัดสีออกมากเท่านั้น เหลือแต่เนื้อในของข้าวที่มีแต่แป้งเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งถ้านำข้าวขาวนี้มาล้างหลาย ๆ ครั้งก่อนการหุงต้มด้วยแล้ว ก็แทบจะไม่มีหลงเหลือวิตามินอยู่เลย ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสนใจกับอาหาร การกิน ที่เราต้องกินกันอยู่ประจำทุกวัน เลิกกินข้าวขาวกันเสียที มากิน ข้าวกล้อง กันได้แล้ว
ข้าวกล้องมีอะไรดี
ข้าวกล้อง หรือที่เรียกกันว่า ข้าวซ้อมมือ เป็นข้าวที่สีเอาแต่เปลือกออกเท่านั้น เยื่อหุ้มเมล็ดข้าวที่มีสีน้ำตาลแกมแดง และจมูกข้าว ยังคงอยู่ครบ จึงเป็นข้าวที่อุดมไปด้วย คุณค่าทางอาหาร เกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในข้าวกล้อง ประกอบไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง แมงกานีส และอื่น ๆ
เหล็กและทองแดง มีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดโรคโลหิตจาง
แมงกานีส มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ การสร้างฮอร์โมนเพศ และการเจริญเติบโต
ส่วนแคลเซียมและฟอสฟอรัส ถ้าขาดไปแล้ว จะทำให้กระดูกอ่อนและเปราะหักง่าย
ฟอสฟอรัส ยังมีส่วนช่วยป้องกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
โปรตีน ที่มีอยู่ในข้าวกล้องนั้นมีอยู่ประมาณ 7-12% แล้วแต่พันธุ์ข้าว แต่หลังจากสีข้าวแล้ว มีผู้ศึกษาค้นคว้าพบว่า การขัดสีข้าวกล้องจนขาว จะทำให้โปรตีนสูญเสียไป ประมาณ 30% วิตามินที่มีอยู่มากในข้าวกล้องก็คือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบีรวม ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินข้าวกล้องเป็นประจำจะป้องกันโรคเหน็บชา ใครที่เป็นโรคเหน็บชาก็คงไม่สนุกแน่ เพราะจะมีอาหารทั้งอ่อนเพลียเหนื่อยง่าย ปวดแสบ เสียว ชาในขา แขนชาไม่มีแรง และถ้ามีอาการร้ายแรงจะมีอาการบวมตามขา หรือตามตัว เดินไม่ได้และหัวใจล้มเหลวได้
ส่วนวิตามินบี 2 นั้นในข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว 66% ถ้าร่างกายขาดวิตามินบี 2 ก็จะเป็นโรค ปากนกกระจอก ได้คือ ที่ริมฝีปากจะบวมมีแผลที่มุมปาก ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตาสู้แสงไม่ได้
อาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด ก็ล้วนเกิดจากการ ขาดวิตามินบีรวม ลิ้นก็สามารถชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในร่างกาย ลิ้นอาจจะเป็นสีชมพูสดใส หรืออาจเป็นสีม่วง หรือออกสีน้ำเงิน หรือด่างเป็นจุดๆ ถ้าลิ้นแตกและมีแผล แสดงให้เห็นว่ากำลังอยู่ในภาวะที่ขาดวิตามินบีรวม
ถ้าหากเรากินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน เราก็จะรอดพ้นจากภาวะดังกล่าวนี้ได้ นอกจากนั้น การได้รับวิตามินบีรวมจากข้าวกล้องเป็นประจำ ยังช่วยบำรุงสมอง นอกจากนี้ เยื่อใยที่หุ้มเมล็ดข้าวยังเป็นตัวช่วยไม่ให้ท้องผูก และป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
ผลดีจากการกินข้าวกล้อง
1.ป้องกันโรคเหน็บชา
2.ป้องกันโรคปากนกกระจอก
3.ป้องกันอาการอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ
4.ป้องกันไม่ให้ลิ้นแตกเป็นแผล
5.ป้องกันโรคผิวหนังบางชนิด
6.ป้องกันโรคเกี่ยวกับประสาทบางชนิด
7.ป้องกันอาหารเบื่ออาหาร
8.มีส่วนช่วยป้องกันโลหิตจาง
9.ช่วยไม่ให้ท้องผูก และเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
10.ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
11.ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว ฯลฯ
หลายคนอาจจะเคยลองกินข้าวกล้อง แล้วต้องเปลี่ยนใจกลับไปกินข้าวขาวใหม่ เนื่องจากไม่เคยชินกับความแข็งกระด้างของข้าวกล้องได้ นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้จักการหุงต้มที่ถูกวิธี การหุงข้าวกล้องต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว และการเปลี่ยนจากการกินข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้องนั้น ครั้งแรกควรผสมข้าวกล้องลงในข้าวขาวเพียง 1 ใน 4 ของข้าวขาว หรือ 1 ใน 3 ของข้าวขาวก่อน หลังจากนั้นสักอาทิตย์ก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็นอย่างละครึ่ง ข้าวขาวครึ่งหนึ่งผสมกับข้าวกล้องอีกครึ่งหนึ่ง เมื่อคุ้นกับรสชาติและผิวสัมผัสของมันแล้วจึงค่อย ๆ ลดข้าวขาวลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเหลือแต่ข้าวกล้องเพียงอย่างเดียว เด็ก ๆ ก็จะไม่ค่อยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย เพราค่อย ๆ คุ้นเคยกับรสชาติของข้าวกล้องจนติดใจไม่อยากกลับไปกินข้าวขาวอีก
ปัจจุบันตามศูนย์การค้าต่าง ๆ หรือแม้แต่ตามตลาดใหญ่ ๆ ก็มี การจำหน่ายข้าวกล้องบรรจุเป็นถุง ๆ ขายกันหลายยี่ห้อให้เลือกตามชอบนับว่าเป็นความสะดวกสบายในการซื้อ อีกทั้งราคาก็ยังถูกกว่าข้าวขาวคุณค่าทางอาหารก็มีมากกว่า ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าควรกินข้าวกล้องทุกวัน

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

"น้ำทับทิม" ป้องกันสมองเสื่อม



อาการสมองเสื่อม สามารถป้องกันด้วย ‘ทับทิม’ ผลไม้มากคุณค่า สีสันสวยงาม
โดยคุณพล ตัณฑเสถียร ฟู้ดสไตลิสต์คนดัง สร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มแก้วเก๋ ชื่อ ‘Red Shooter’

ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณป้องกันอาการหลง ๆ ลืม ๆ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ในส่วนของเมล็ดยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง นอกจากทับทิมแล้ว เครื่องดื่มแก้วนี้ยังต้องการส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าเข้าไปอีก มีทั้งแตงโม มะนาว ส้ม และสับปะรด ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และทำให้แผลหายเร็วอีกด้วยสรุปส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ

ทับทิม
แตงโม
มะนาว
ส้ม
สับปะรด

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากการแกะเมล็ดทับทิมออกจากผล แล้วใส่รวมกันในผ้าขาวบาง บีบคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นำไปคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้นำไปผสมรวมกัน จากนั้นนำไปเขย่ารวมกับน้ำแข็งก้อนใหญ่เพียงชั่วครู่ ก็จะได้เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานที่เย็นจับใจ ดื่มได้ทันที.

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากเปลือกแอปเปิ้ล


ป้องกันมะเร็งไส้ใหญ่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล
ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ


นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูก จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรค จะลดลงได้ประมาณถึงครึ่งพวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมัน คงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ และยังยับยั้งอาการตั้งต้นของโรค และการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วยนักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือก มากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ



วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กินกล้วยต้านโรค (Lisa)


  • กล้วย มีกำเนิดอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงได้หลายพันปี หลายปีมาแล้ว เชื่อกันว่ากล้วยเป็นผลไม้ชนิดแรกที่คนปลูก เพื่อเป็นอาหาร ประเทศไทยเราชื่อแน่ว่าปลูกกล้วยกินมานานมากแล้ว จดหมายในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ 300 กว่าปีมาแล้วก็กล่าวถึงเรื่องของกล้วย และยังมีผู้สำรวจและกล่าวว่ากล้วยหลาย 10 พันธุ์มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย แต่คนไทยกลับนิยมกินกล้วยกินน้อยมาก บางคนดูถูกด้วยซ้ำว่าเป็นผลไม้ของคนยาก เนื่องจากราคาถูก จึงถูกจัดให้เป็นผลไม้เกรดต่ำ นำมาขึ้นโต๊ะรับแขกไม่ได้ แขกจะถูกแย่ว่าเลี้ยงกล้วย ต้องไปหาผลไม้แพงๆ ซึ่งความจริงผลไม้ไทยๆ อย่างกล้วยนี้ สุดยอดวิตามินเชียวล่ะ

    กินกล้วย - ต้านโรค
    กล้วยผลไม้ไทย ๆ ของเรา ใช้เป็นยาป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรค และยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ คือมีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย ทางการแพทย์จึงได้เลือกให้กล้วยน้ำว้าสุกเป็นอาหารเสริมในวัยทารก น้ำตาลที่เกิดขึ้นจากขบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้ง ขณะที่กล้วยสุกก็มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อกล้วยตกไปถึงลำไส้จะทำให้ลำไส้มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้แคลเซียมถูกดูดซึมง่ายและสมบูรณ์ขึ้น จึงนับว่าน้ำตาลในกล้วยมีคุณค่ากว่าน้ำตาลที่ได้จากธัญพืชอื่น ๆ สารอาหารโปรตีนที่มีอยู่ในกล้วยน้ำว้า เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับเราอยู่หลายชนิด โดยเฉพาะมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า อาร์จินิน และ ฮีสติดีน ซึ่งกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก นอกจากจะมีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตแล้ว ในกล้วยแต่ละชนิดยังมีไขมันแม้จะอยู่ในปริมาณที่น้อยก็ตาม
    กล้วยแต่ละชนิดจะให้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ในปริมาณที่แตกต่างกัน จะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนจากตาราง โดยเปรียบเทียบจากเนื้อกล้วยในปริมาณ 100 กรัม เท่าๆ กัน ส่วนวิตามินนั้น มองดูผิวเผิน กล้วยแต่ละชนิดสีขาวๆ ทั้งนั้นไม่น่าจะให้วิตามินเอเลย แต่ในกล้วยก็มีวิตามินเออยู่ด้วย แม้จะไม่มากเท่าวิตามินเอที่ได้จากมะละกอหรือมะม่วงสุก แต่ก็มีวิตามินเอมากกว่าผลไม้อีกหลาย ๆ ชนิด เช่น ชมพู่ ส้มโอ น้อยหน่า เป็นต้น ในบรรดากล้วยทุกชนิดนั้น กล้วยน้ำว้าจะมีวิตามินเอมากกว่าเพื่อน สำหรับวิตามินตัวอื่น กล้วยก็มีอยู่ครบทุกชนิดเช่นกัน ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอะซิน เกลือแร่สำคัญ ๆ ที่มีอยู่ในกล้วยก็คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้อื่น ๆ แล้ว กล้วยนับเป็นผลไม้ที่มีเกลือแร่อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ฟอสฟอรัส หรือเหล็กก็ตาม กล้วยทุกชนิดมีแร่ธาตุมากกว่าผลไม้ชนิดต่าง ๆ ดังนี้

    1. มีธาตุเหล็กมากกว่าแตงโม พุทรา ระกำ ลำไย ลิ้นจี่ แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ

    2. มีแคลเซียมมากกว่าชมพู่ มะเฟือง มะไฟ มะยม มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย ฯลฯ

    3. มีฟอสฟอรัสมากกว่าลูกเงาะ ชมพู่ แตงไทย แตงโม มะเฟือง มะม่วง มังคุด ระกำ ละมุด แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ




โยคะช่วยได้

สุดยอด! ผักผลไม้เพื่อสุขภาพ


เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes) ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด

ถั่ว ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม “ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ” ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
แอปเปิ้ล มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน” แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที

บรอคโคลี่ เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

กล้วยไข่ กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ

ฝรั่ง ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำ

ส้ม แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วย
ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาดในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี


ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

8 การออกกำลังดีที่สุด และแย่ที่สุดสำหรับหัวใจ


ดีที่สุด

1.การออกกำลังแบบอินเทอร์วัล เป็นการออกกำลังอันดับหนึ่งในแง่ของการป้องกันโรคหัวใจโรคเบาหวาน ในการลดน้ำหนัก และช่วยสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมีเคล็ดลับง่าย ๆ ก็คือการผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายหนัก ๆ ในระยะสั้นๆ กับการออกกำลังเบา ๆ ที่นานกว่าเล็กน้อย เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัว เช่นถ้าคุณชอบเดิน ลองสลับเดินปกติ 3 นาที กับเดินเร็ว ๆ 1 นาทีอัตราชีพจรที่ขึ้นลงอย่างต่อเนื่องจะช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยเผาผลาญแคลอรีและเพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดทั้งไขมันและน้ำตาลออกจากกระแสเลือด

2.การออกกำลังกายทั่วเรือนร่างแบบที่ไม่มีแรงกระแทก ยิ่งใช้กล้ามเนื้อมากชนิดเท่าไหร่หัวใจก็ยิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อเหล่านั้นจนในที่สุดหัวใจก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ พายเรือหรือสกีครอสคันทรี ล้วนแล้วแต่ใช้กล้ามเนื้อเกือบทุกส่วนของร่างกายโดยที่ไม่ได้เกินแรงไปมากนักเมื่อนำมาประยุกต์เข้ากับการออกกำลังแบบอินเทอร์วัล นั่นล่ะเพอร์เฟ็กต์เลย!

3.ยกน้ำหนัก ในแง่หนึ่งการยกน้ำหนักอาจคล้ายกับการออกกำลังแบบอินเทอร์วัลในขณะที่ทำท่าซ้ำ ๆอัตราชีพจรจะเร่งขึ้นและกลับมาเป็นปกติเมื่อพักระหว่างเซ็ตด้วยการยกน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพนี้เองกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยแบ่งเบาภาระต่อหัวใจถ้าจะให้ดีลองใช้ตุ้มน้ำหนักดีกว่า มันจะบังคับให้คุณใช้กล้ามเนื้อมากขึ้นสร้างความแข็งแกร่งและสมดุลให้กับลำตัว

4.การบริหารแกนกลางลำตัว รู้มั้ยทำไมใคร ๆ ก็ชอบพิลาทีส? เหตุผลก็คือไม่ใช่แค่ช่วยสร้างความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นและสมดุลของร่างกายหรือช่วยให้เล่นกีฬาได้ดีขึ้นเท่านั้นแต่พิลาทีสทำให้การใช้ชีวิตประวันของคุณดีขึ้นเพราะไม่ว่าจะทำอะไรคุณก็ต้องมีรากฐานร่างกายที่มั่นคง ซึ่งพิลาทีสช่วยได้!

5.โยคะ เป็นเรื่องจริงที่ว่าโยคะสามารถลดความดันโลหิตทำให้หลอดเลือดยืดหยุ่นขึ้น และส่งเสริมสุขภาพของหัวใจได้ นอกจากนี้ยังทำให้แกนของร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วยนะจ๊ะ

6.กระฉับกระเฉงทุกเวลา คนที่หมั่นเคลื่อนไหวตลอดเวลา เช่น ทำความสะอาด ทำสวนหรือเดินระยะสั้น ๆ ไม่ว่ากิจกรรม เหล่านั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนจะสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าและมีสุขภาพดีกว่าคนที่นั่งอยู่ที่หน้าจอทั้งวันแล้วออกกำลัง 30-60นาทีต่อวัน เครื่องนับก้าวเดินก็เป็นเครื่องมือที่แจ่มมากลองใช้ดูแล้วจะรู้ว่าปกติคุณแอ็กทีฟขนาดไหน!


แย่ที่สุด

7.วิ่งระยะไกลบนทางเท้า คุณและเพื่อนร่วมก๊วนอาจเมื่อยล้าและปวดตามที่ต่าง ๆและนี่อาจบอกใบ้ว่าความจริงแล้วร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการวิ่งเหยาะ ๆ นาน ๆ หรอกแม้ว่าการวิ่งระยะไกลจะช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง แต่มันทำให้ร่างกายอ่อนล้านะ

8.การออกกำลังหนัก ๆ ทุกประเภทที่ขาดการฝึกฝน ตั้งแต่การปั่นจักรยาน 40 กิโลเมตร ทั้งที่ไม่เคยฝึกมาก่อนหรืออยู่ดี ๆ ก็หันไปเล่นตะกร้อ อะดรีนาลีนที่เพิ่มขึ้นมากเกินรับได้นั้นอาจทำให้หัวใจวายได้และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ จงอย่าออกกำลังกายหนัก ๆโดยที่ไม่ได้วอร์มอัพก่อนเด็ดขาด

14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะเพื่อสุขภาพที่ดี


วิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ
1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ
2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้
3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา
4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง
5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้
6. หากจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง
7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะมารับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้
8. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
9. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ
10. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์
12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน
13. คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1วันถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตรายต้องไปพบแพทย์โดยด่วน
14. ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง