วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

โยคะใบหน้า

โยคะใบหน้า สาวอ่อนวัย

แน่นอนว่าใคร ๆ ก็อยากเป็นเจ้าของใบหน้าสวยอ่อนเยาว์ วันนี้คู่หูเดินทางมีตัวช่วยในการออกกำลังกายใบหน้ามาฝาก เพื่อให้หนุ่มสาวชาวคู่หูเดินทางดูสดใส ปิ๊งปั๊งกันตลอดเวลาแม้ในยามเดินทาง


ท่าที่ 1 ท่ากลางหน้าผาก ให้วางนิ้วชี้ไว้ที่โคนผมกลางหน้าผาก นิ้วนางวางบนหว่างคิ้ว ตรึงไว้ แล้วหายใจเข้า ตามองต่ำ เพื่อเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตา ใช้นิ้วกลางกดน้ำหนักบนกล้ามเนื้อ ลูบจากบนลงล่างช้า ๆ แล้วหายใจออก จากนั้นเลื่อนมือออกด้านข้าง เพื่อยืดกล้ามเนื้อซ้ายและขวา


ท่าที่ 2 ท่ากล้ามเนื้อระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วกลางหรือนิ้วชี้ วางที่หว่างคิ้ว และกดไล่ออกจนถึงกึ่งกลางของคิ้ว


ท่าที่ 3 ท่ากล้ามเนื้อจมูก ท่าแรกใช้นิ้วลูบสันจมูกจากบนลงล่าง ท่าสองใช้นิ้วลูบจากดั้งจมูกออกไปทางโหนกแก้ม


ท่าที่ 4 ท่ากล้ามเนื้อรอบดวงตา ใช้นิ้วลูบรอบดวงตา ทั้งด้านบนและด้านล่าง


ท่าที่ 5 ท่ากล้ามเนื้อรอบริมฝีปาก ใช้นิ้วมือซ้ายกดที่มุมปากด้านขวาเพื่อตรึงผิว ใช้มือขวากดและลูบออกไปใน 4 ทิศทาง ท่าละ 3-5 ครั้ง ได้แก่ เฉียงขึ้นบนไปทางไรผม ด้านข้างตรงไปถึงติ่งหู เฉียงลงทางขากรรไกร และลงมาที่ปลายคาง โดยทำทั้ง 2 ข้าง


ท่าที่ 6 ท่ากล้ามเนื้อคอ ใช้ 2 มือ กดบริเวณไหปลาร้า แล้วยึดลำคอขึ้นใน 3 ทิศทาง คือ ตรงเหมือนแหงนหน้าขึ้น ยืดซ้ายและยืดขวา หลังการยืดกล้ามเนื้อ เข้าสู่การออกกำลังกล้ามเนื้อเต็มที่ โดยย่นหน้าผากหลับตาปี๋ ยิ้มให้กล้ามเนื้อที่แก้มทำงาน ปฏิบัติท่าละ 3 ครั้ง เมื่อเสร็จแล้วปิดท้ายด้วยการยึดกล้ามเนื้ออีกครั้ง


เมื่อทำเป็นประจำกล้ามเนื้อบนใบหน้าจะรู้สึกผ่อนคลายระบบการไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่ง



วิธีทำใจทนทำงานก่อนเปลี่ยนงานใหม่



หากกำลังเบื่องานที่ทำในตอนนี้สุดขีดแต่จำต้องทน และรอเพราะยังไม่มีอะไรดีไปกว่านี้หรือเปล่า มีคนจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่กำลังรอจังหวะ เพื่อเปลี่ยนงานเสมอถ้ามีโอกาส จากสถิติในสหรัฐอเมริกา พบว่าคนทำงานอย่างน้อย 54% พร้อมจะลาออกจากที่ทำงานเดิมในทันที และที่น่าแปลกใจคือผู้หญิงมักจะเปลี่ยนงานบ่อยกว่า และมีความอดทนในการรอคอยน้อยกว่าผู้ชาย

จอยซ์ จีโอยา ผู้เชี่ยวชาญแห่ง Strategic business futurist บอกว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณตัดสินใจจะเปลี่ยนงาน นั่นเท่ากับว่าคุณหมดแรงจูงใจในการทำงานเดิมแล้ว ยิ่งคุณคิดถึงสิ่งที่จะเป็นไปได้ สิ่งที่จะมีในอนาคตมากเท่าไหร่ก็เท่ากับว่าคุณยิ่งดึงตัวเองออกจากงานที่ทำ ณ ปัจจุบันมากเท่านั้น เพราะคุณจะมองทุกอย่างติดลบไปหมด...งานน่าเบื่อ, หัวหน้าไม่ดี, เพื่อนร่วมงานน่าเซ็ง ฯลฯ

และความคิดเหล่านี้จะคอยกัดกินความตั้งใจซึ่งจะส่งผลต่องาน ซึ่งหากคุณมีที่หมายใหม่แล้วก็นับถอยหลังได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ใช่และยังต้องทนอยู่กับงานเดิม หัวหน้าคนเดิมและเพื่อนร่วมงานเดิม ๆ ต่อไปอีกโดยไม่มีกำหนดเวลาและไม่มีที่ไป หนทางได้แนะนำวิธีที่จะสร้างแรงกระตุ้นให้ตัวเองเพื่อรับมือสภาวการณ์ที่น่าพะอืดพะอมในใจคุณไว้ดังนี้


1. ฝึกตัวเองให้มีสมาธิกับสิ่งที่ทำ ณ ปัจจุบัน ลองหัดสังเกตสิ่งที่คุณคิดในแต่ละช่วงเวลา และพิจารณาดูว่าอารมณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร อย่าตัดสินตัวเองในขณะที่สมองกำลังล่องลอย แต่เรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทั้งจิตใจและอารมณ์ของคุณ เป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกตื่นเต้นหรือวิตกกังวล หรืออาจเป็นทั้งสองอย่างเมื่อคิดเรื่องการเปลี่ยนงาน จากนั้นลองใคร่ครวญสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคุณ ผู้คน สิ่งของบนโต๊ะ หรือแม้แต่งานที่คุณต้องใส่ใจ แล้วตั้งสมาธิกับสิ่งนั้นเพื่อความสุขหรือการเรียนรู้ ณ ช่วงเวลานั้น


2. ถามตัวเองว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อสร้างรากฐานสำหรับงานในอนาคต สิ่งที่ทำ ณ ปัจจุบันจะช่วยคุณในอนาคตได้อย่างไร งานในตอนนี้ของคุณเป็นเสมือนห้องทดลองของการเรียนรู้ ศึกษางานที่ทำ คิดต้นบทสนทนากับผู้คนที่สามารถช่วยเหลือคุณให้เข้าใจงานหรือธุรกิจในภาพที่กว้างกว่า แล้วดูว่าสิ่งที่คุณได้ในวันนี้จะช่วยให้วันพรุ่งนี้ง่ายขึ้นอย่างใด


3. เปลี่ยนแปลงตารางงานเพื่อความแตกต่าง ลองเปลี่ยนแปลงตารางการทำงานของคุณดูบ้าง เช่นเคยเดินทางมาทำงานในเวลา 07.00 น. ทุกวันก็ลองเปลี่ยนมาออกเดินทางตอน 06.00 น. ดูบ้างหรือหากคุณต้องเสียเวลากับการแต่งหน้าทำผมนานนับชั่วโมงกว่าจะออกจากบ้าน ลองเปลี่ยนสไตล์ที่จะช่วยให้คุณใช้เวลากับมันน้อยลง เพื่อจะได้มีเวลาทำสิ่งอื่น ๆ ที่แตกต่างบ้าง เมื่อถึงที่ทำงานแทนที่คุณจะเริ่มต้นด้วยการก้มหน้าก้มตาเช็คอีเมล์ก็ลองคุยกับเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้าง ๆ หรือคนที่คุณไม่ค่อยได้คุยด้วย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้สึกแตกต่างไม่ซ้ำซากจำเจ ซึ่งจะเป็นการสร้างแรงผลักดันในทางอ้อมได้


4. สวมวิญญาณนักผจญภัย ก่อนออกจากบ้านในแต่ละวัน ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักผจญภัยที่จะต้องไปพบเจอเรื่องน่าตื่นเต้น พบสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาและในวันนี้จะมีอะไรที่จะถือเป็นที่สุดของแต่ละวันหรืออาจจะของชีวิตคุณได้บ้าง มองแต่ละวันที่ผ่านไปว่าเป็นการผจญภัยที่เต็มไปด้วยสิ่งน่าค้นหา การเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้จะทำให้ชีวิตของคุณน่าตื่นเต้นกระตือรือร้น กระชุ่มกระชวย มีแต่เรื่องบวกที่จะทำให้คุณมีความสุขอยู่กับงานได้จนกว่าจะมีโอกาสดี ๆ ใหม่ ๆ เข้ามา

3 ปัจจัยเสี่ยงโรคริดสีดวง

3 ปัจจัยเสี่ยงโรคริดสีดวง (Woman Plus)



เรื่อง : Booz-zaa



ใครจะเชื่อว่า การนั่งทำงานอย่างทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่ลุกเดินไปไหน จะเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคริดสีดวงทวาร ที่สร้างความทรมานให้กับสาว ๆ วัยทำงานโดยไม่รู้ตัว

อีกทั้งการมีนิสัย และพฤติกรรมบางอย่าง ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคนี้ด้วยเช่นกัน ฉะนั้นสาว WP คนไหนที่ไม่อยากเสี่ยงกับโรคนี้ ควรเลิกพฤติกรรมเหล่านี้โดยด่วน!!

1. กินอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "อาหารขยะ" ซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากความรีบเร่งที่ต้องทำงานให้เสร็จทันเวลา เมนูอาหารขยะแบบอเมริกันจึงเป็นคำตอบสุดท้ายที่ถูกเลือก นั่นหมายความว่า ร่างกายของคุณจะได้รับสารอาหารจำพวกกากใยอาหารจากผัก และผลไม้น้อยเกินไป ส่งผลให้เกิดปัญหาท้องผูกตามมาในที่สุด

2. น้ำหนักเกินมาตรฐาน เป็นผลมาจากการนั่งทำงาน โดยไม่มีการขยับร่างกาย หรือเคลื่อนไหวไปไหนมาไหน ร่างกายไม่ได้ออกกำลัง แถมยังต้องแบกรับน้ำหนักตัวเองทั้งหมดไว้ที่เท้า นอกจากจะทำให้คุณผู้หญิงเป็นโรคอ้วนแล้ว ยังถูกโรคริดสีดวงถามหาอีกด้วย ทางที่ดีควรลุกออกจากเก้าอี้ และหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วยืดเส้นยืดสายดูบ้างนะคะ

3. ท้องผูกเรื้อรัง เนื่องจากระบบขับถ่ายผิดปกติ ซึ่งเกิดจากนิสัยการกินที่ไม่สนใจใยดีผัก ผลไม้ บวกกับการนั่งทำงานหนักทั้งวัน ชนิดหามรุ่งหามค่ำ ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ระบบขับถ่ายจึงทำงานผิดปกติ ไม่มีการขับถ่ายตอนเช้า เกิดการสะสมของเสียไว้ในร่างกาย ฉะนั้นสาว ๆ ที่กำลังมีพฤติกรรมเช่นนี้ ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ก่อนที่โรคริดสีดวงจะถามหาในเร็ววัน

ทั้งนี้ "โรคริดสีดวงทวาร"' เกิดจากกลุ่มหลอดเลือด และเนื้อเยื่อบริเวณลำไส้ตรง หรือบริเวณรูทวารมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดดำที่ขยายใหญ่ขึ้น เกิดการโป่งพอง ยื่นออกมาให้เห็นเป็นหัว เรียกว่า "ริดสีดวง" ซึ่งอาจจะมีหลายหัว หรือหัวเดียวก็ได้ เมื่อนั่งจะทำให้เกิดการกดทับเนื้อที่ยื่นออกมาเป็นติ่ง ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และเจ็บคัน

ประหยัดพลังงานและวิธีลดโลกร้อนง่าย ๆ

ประหยัดพลังงานและวิธีลดโลกร้อนง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันโลกของเราร้อนขึ้นทุกวัน ๆ ส่งผลให้คนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านได้นาน ๆ เหมือนแต่ก่อน ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างเช่น แอร์ พัดลม ช่วยเพิ่มความเย็น และยิ่งโลกร้อนขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่า ผู้คนบนโลกยิ่งใช้พลังงานทำลายชั้นบรรยากาศของโลกมากขึ้นเท่านั้น . . . วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยมีวิธีดี ๆ ในการประหยัดพลังงานทุก ๆ อย่างในชีวิตประจำวันมาฝากกัน ที่จะช่วยให้คุณเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดโลกร้อน ด้วยการเริ่มต้นประหยัดพลังงานกันตั้งแต่ในบ้านไป จนถึงที่ทำงานเลยทีเดียว ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่า คุณสามารถช่วยลดโลกร้อนในแต่ละวันอย่างไรได้บ้าง

พลังงานความร้อนและไฟฟ้า

1. ติดตั้งฉนวนกันความร้อนบนฝ้าเพดานบ้าน เพื่อลดความร้อนและทำให้บ้านเย็น
2. ตั้งตู้เย็นไว้ในที่ที่ใกล้กับประตูหน้าต่าง เพื่อความร้อนที่ระบายออกมาจะได้ไม่สะท้อนกลับไปในห้องครัว และยังช่วยประหยัดไฟอีกด้วย
3. ในฤดูหนาวควรเปิดหน้าต่างให้ความเย็นเข้ามาในห้องตอนกลางคืน และปิดหน้าต่างตอนเช้า เพื่อให้ความเย็นภายในห้อง ไม่ถูกแทนที่ด้วยความร้อนจากแสงแดดตอนกลางวัน
4. คุณสามารถลดความร้อนในบ้านได้ถึง 50% หากติดกระจกแบบสองชั้น เพราะจะสามารถกันความร้อนได้ และช่วยคุณประหยัดไฟฟ้าได้อีก
5. เปิดแอร์ที่ 25 องศาเสมอ เพราะเป็นอุณหภูมิที่สบายที่สุด ที่คุณไม่ต้องนอนห่มผ้าตากแอร์เลย
6. ติดตั้งระบบไฟฟ้าหมุนเวียนภายในบ้าน
7. เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเกรด A ที่ไม่กินไฟ
8. เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟฟ้าแบบประหยัดไฟ
9. อย่าใช้เครื่องปั่นผ้าในวันที่ฟ้าใส และแดดจัด เพราะอุณหภูมิของโลก สูงพอจะทำให้ผ้าแห้งได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงอยู่แล้ว
10. เสื้อผ้าน้อยชิ้นควรซักเองด้วยมือ ส่วนเครื่องซักผ้าควรใช้ในวันที่มีเสื้อผ้าเต็มตะกร้า
11. หากคุณต้องเปิดไฟในสวนหน้าบ้านทุกคืน ควรใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ชาร์จพลังงานตอนกลางวัน และเปิดไฟตอนกลางคืน
12. ถอดสายชาร์จโทรศัพท์มือถือออกจากเบ้าเสียบทุกครั้งที่ชาร์จเสร็จ เพราะมันกินไฟโดยเปล่าประโยชน์

พลังงานน้ำ

13. ตรวจสอบรอยรั่วของท่อประปา หรือรอยรั่วก๊อกน้ำแล้วอุดรอยรั่วนั้นให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้มันหยดทิ้งแม้น้อยนิดก็ตามที
14. หากคุณจะต้มน้ำ ควรใช้หม้อต้มน้ำที่พอดีกับปริมาณน้ำที่ต้องการใช้ เพราะขนาดภาชนะที่ใหญ่เกินไป มักจะทำให้เราใช้น้ำเกินความต้องการเสมอ
15. เวลาที่ชงชา ต้มน้ำในปริมาณที่คุณจะใช้เท่านั้น แม้มันจะดูน้อยนิดเกินไป แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้น้ำร้อนที่เหลือจากการชงชาค่อย ๆ เย็นโดยไม่ได้ใช้อะไรเลย
16. ปิดก๊อกน้ำทุกครั้งขณะที่คุณกำลังแปรงฟัน
17. ใช้ถังชักโครกที่ประหยัดน้ำ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำไปกับการชำระล้างโถส้วม เกินความจำเป็น
18. ใช้ฝักบัวอาบน้ำแทนการนอนแช่น้ำในอ่าง เพราะมันเปลืองน้ำกว่ามาก ๆ

อาหารและตู้เย็น

19. ตั้งตู้เย็นให้ห่างจากผนังด้านละประมาณ 15 เซนติเมตร เพื่อให้ได้ระบายความร้อนได้สะดวก
20. ละลายน้ำแข็งในตู้เย็นเป็นประจำ
21. อย่าเปิดตู้เย็นทิ้งไว้เป็นเวลานานเกินไป เพราะจะทำให้ความเย็นระบายออกมาหมดและทำให้ตู้เย็นทำงานหนัก กินไฟมาก
22. ไม่ควรนำอาหารอุ่น ๆ หรือร้อนแช่ตู้เย็นเป็นอันขาด ควรวางไว้ให้เย็นก่อนแล้วค่อยนำเข้าตู้เย็นอีกครั้ง
23. ซื้ออาหารที่มีในท้องถิ่น เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องซื้อในปริมาณเยอะ ๆ แล้วนำมาตุนไว้ในช่องแช่แข็งจนไม่มีที่ว่าง

พลังงานขณะขับรถ

24. วางแผนการเดินทางทุกครั้งก่อนออกรถ เพื่อจะได้ไม่ต้องขับวนไปวนมาคิดซ้ายคิดขวาว่าจะไปทางไหนดี
25. ขับรถด้วยความเร็วที่คงที่เสมอ ที่สำคัญไม่ควรขับเร็วเกินความจำเป็นด้วย
26. ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้สักครู่ ก่อนออกรถ
27. ในกรณีที่รถติดไฟแดงในแยกที่รถติดนานกว่า 2 นาทีขึ้นไป ควรดับเครื่องยนต์ก่อนแล้วค่อยสตาร์ทใหม่
28. ไม่ควรเปิดแอร์ในรถเย็นเกินไป ใช้อุณหภูมิที่พอเหมาะเท่านั้น
29. หากต้องเดินทางไปสถานที่ใกล้ ๆ ที่ห่างจากบ้านไม่เกิน 5 กิโลเมตร ควรใช้วิธีเดินหรือปั่นจักรยานดีกว่า
30. อุปกรณ์แต่งรถหลาย ๆ อย่าง สามารถกินพลังงานเกินความจำเป็นได้ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องบอกทาง เป็นต้น
31. นำรถเข้าอู่เป็นประจำ เพื่อเช็คสภาพและการทำงานต่าง ๆ ของรถ

พลังงานขณะทำงาน

32. แม้ว่าคุณจะไม่ได้จ่ายค่าไฟที่ทำงานเอง แต่ก็ควรใช้ไฟเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยปิดไฟดวงที่ไม่ใช้หรือในห้องที่ไม่มีใครอยู่ เพื่อช่วยโลกประหยัดไฟ
33. ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อคุณต้องลุกออกไปที่ไหนนาน ๆ เช่น ทานข้าว ไปประชุม หรือแม้แต่ออกไปยืดเส้นยืดสาย
34. ใช้กระดาษทั้งสองหน้า อย่าใช้เพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
35. หากสามารถเปิดหน้าต่างได้ ควรหลีกเลี่ยงการเปิดแอร์ในวันที่อากาศสบาย ๆ
36. ควรใช้ลิฟต์ในออฟฟิศพร้อม ๆ กับคนอื่น ขณะเดียวกัน คุณสามารถเดินขึ้นบันไดได้หากห้องทำงานของคุณไม่ได้อยู่สูงถึงชั้น 7
37. สำหรับข้อมูลบางอย่างที่สามารถอ่านผ่านคอมพิวเตอร์ได้ บางครั้งคุณก็ไม่จำเป็นต้องปรินท์เอาท์ออกมา


และนี่ก็คือวิธีง่าย ๆ ในการช่วยลดโลกร้อนที่ไม่ว่าใคร ๆ ก็ทำได้ ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตระหนักถึงคุณค่าของพลังงานและภาวะโลกร้อน เริ่มต้นประหยัดพลังงานกันตั้งแต่วันนี้นะคะ อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยยืดเวลาให้โลกไม่ร้อนไปกว่านี้ได้ไม่น้อยเลยล่ะ

ข้าวกล้องมีอะไรดี


ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย คนไทยกินข้าวทุกวัน วันละหลายมื้อ
แต่เรากลับให้ความสนใจในเรื่องข้าวน้อยมาก
ข้าวที่บริโภคอยู่ทุกวันนี้มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ไม่ว่าจะเป็นข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียว ทุกครัวเรือนก็นิยมข้าวที่ชัดสีจนขาวสะอาด ข้าวที่ขัดสีจนขาวสะอาด สวยใคร ๆ ก็ต้องบอกว่ามันอร่อย นุ่ม น่ากินกว่าข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสีเป็นไหน ๆ ยิ่งในปัจจุบันเป็นยุคไฮเทค ทุกอย่างเครื่องจักรล้วนเนรมิตได้ จะสีให้ขาวสะอาด ขนาดไหนได้ทั้งนั้น


แต่คนกินจะรู้บ้างไหมว่า ข้าวที่ชัดเจนขาวสวยที่เรากินอยู่ทุกวี่ทุกวันนี้ เป็นข้าวที่ต้องสูญเสียสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ทั้งโปรตีน วิตามิน กากใย และเกลือแร่ต่าง ๆ หลายสิบชนิด ยิ่งขัดสีกันมากเท่าไร ส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวภายในเปลือกที่มีสีน้ำตาลแดง พร้อมทั้งจมูกข้าว ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารก็จะถูกขัดสีออกมากเท่านั้น เหลือแต่เนื้อในของข้าวที่มีแต่แป้งเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งถ้านำข้าวขาวนี้มาล้างหลาย ๆ ครั้งก่อนการหุงต้มด้วยแล้ว ก็แทบจะไม่มีหลงเหลือวิตามินอยู่เลย ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสนใจกับอาหาร การกิน ที่เราต้องกินกันอยู่ประจำทุกวัน เลิกกินข้าวขาวกันเสียที มากิน ข้าวกล้อง กันได้แล้ว
ข้าวกล้องมีอะไรดี
ข้าวกล้อง หรือที่เรียกกันว่า ข้าวซ้อมมือ เป็นข้าวที่สีเอาแต่เปลือกออกเท่านั้น เยื่อหุ้มเมล็ดข้าวที่มีสีน้ำตาลแกมแดง และจมูกข้าว ยังคงอยู่ครบ จึงเป็นข้าวที่อุดมไปด้วย คุณค่าทางอาหาร เกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในข้าวกล้อง ประกอบไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง แมงกานีส และอื่น ๆ
เหล็กและทองแดง มีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดโรคโลหิตจาง
แมงกานีส มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ การสร้างฮอร์โมนเพศ และการเจริญเติบโต
ส่วนแคลเซียมและฟอสฟอรัส ถ้าขาดไปแล้ว จะทำให้กระดูกอ่อนและเปราะหักง่าย
ฟอสฟอรัส ยังมีส่วนช่วยป้องกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
โปรตีน ที่มีอยู่ในข้าวกล้องนั้นมีอยู่ประมาณ 7-12% แล้วแต่พันธุ์ข้าว แต่หลังจากสีข้าวแล้ว มีผู้ศึกษาค้นคว้าพบว่า การขัดสีข้าวกล้องจนขาว จะทำให้โปรตีนสูญเสียไป ประมาณ 30% วิตามินที่มีอยู่มากในข้าวกล้องก็คือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบีรวม ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินข้าวกล้องเป็นประจำจะป้องกันโรคเหน็บชา ใครที่เป็นโรคเหน็บชาก็คงไม่สนุกแน่ เพราะจะมีอาหารทั้งอ่อนเพลียเหนื่อยง่าย ปวดแสบ เสียว ชาในขา แขนชาไม่มีแรง และถ้ามีอาการร้ายแรงจะมีอาการบวมตามขา หรือตามตัว เดินไม่ได้และหัวใจล้มเหลวได้
ส่วนวิตามินบี 2 นั้นในข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว 66% ถ้าร่างกายขาดวิตามินบี 2 ก็จะเป็นโรค ปากนกกระจอก ได้คือ ที่ริมฝีปากจะบวมมีแผลที่มุมปาก ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตาสู้แสงไม่ได้
อาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด ก็ล้วนเกิดจากการ ขาดวิตามินบีรวม ลิ้นก็สามารถชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในร่างกาย ลิ้นอาจจะเป็นสีชมพูสดใส หรืออาจเป็นสีม่วง หรือออกสีน้ำเงิน หรือด่างเป็นจุดๆ ถ้าลิ้นแตกและมีแผล แสดงให้เห็นว่ากำลังอยู่ในภาวะที่ขาดวิตามินบีรวม
ถ้าหากเรากินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน เราก็จะรอดพ้นจากภาวะดังกล่าวนี้ได้ นอกจากนั้น การได้รับวิตามินบีรวมจากข้าวกล้องเป็นประจำ ยังช่วยบำรุงสมอง นอกจากนี้ เยื่อใยที่หุ้มเมล็ดข้าวยังเป็นตัวช่วยไม่ให้ท้องผูก และป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
ผลดีจากการกินข้าวกล้อง
1.ป้องกันโรคเหน็บชา
2.ป้องกันโรคปากนกกระจอก
3.ป้องกันอาการอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ
4.ป้องกันไม่ให้ลิ้นแตกเป็นแผล
5.ป้องกันโรคผิวหนังบางชนิด
6.ป้องกันโรคเกี่ยวกับประสาทบางชนิด
7.ป้องกันอาหารเบื่ออาหาร
8.มีส่วนช่วยป้องกันโลหิตจาง
9.ช่วยไม่ให้ท้องผูก และเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
10.ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
11.ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว ฯลฯ
หลายคนอาจจะเคยลองกินข้าวกล้อง แล้วต้องเปลี่ยนใจกลับไปกินข้าวขาวใหม่ เนื่องจากไม่เคยชินกับความแข็งกระด้างของข้าวกล้องได้ นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้จักการหุงต้มที่ถูกวิธี การหุงข้าวกล้องต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว และการเปลี่ยนจากการกินข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้องนั้น ครั้งแรกควรผสมข้าวกล้องลงในข้าวขาวเพียง 1 ใน 4 ของข้าวขาว หรือ 1 ใน 3 ของข้าวขาวก่อน หลังจากนั้นสักอาทิตย์ก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็นอย่างละครึ่ง ข้าวขาวครึ่งหนึ่งผสมกับข้าวกล้องอีกครึ่งหนึ่ง เมื่อคุ้นกับรสชาติและผิวสัมผัสของมันแล้วจึงค่อย ๆ ลดข้าวขาวลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเหลือแต่ข้าวกล้องเพียงอย่างเดียว เด็ก ๆ ก็จะไม่ค่อยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย เพราค่อย ๆ คุ้นเคยกับรสชาติของข้าวกล้องจนติดใจไม่อยากกลับไปกินข้าวขาวอีก
ปัจจุบันตามศูนย์การค้าต่าง ๆ หรือแม้แต่ตามตลาดใหญ่ ๆ ก็มี การจำหน่ายข้าวกล้องบรรจุเป็นถุง ๆ ขายกันหลายยี่ห้อให้เลือกตามชอบนับว่าเป็นความสะดวกสบายในการซื้อ อีกทั้งราคาก็ยังถูกกว่าข้าวขาวคุณค่าทางอาหารก็มีมากกว่า ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าควรกินข้าวกล้องทุกวัน

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

"น้ำทับทิม" ป้องกันสมองเสื่อม



อาการสมองเสื่อม สามารถป้องกันด้วย ‘ทับทิม’ ผลไม้มากคุณค่า สีสันสวยงาม
โดยคุณพล ตัณฑเสถียร ฟู้ดสไตลิสต์คนดัง สร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มแก้วเก๋ ชื่อ ‘Red Shooter’

ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณป้องกันอาการหลง ๆ ลืม ๆ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ในส่วนของเมล็ดยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง นอกจากทับทิมแล้ว เครื่องดื่มแก้วนี้ยังต้องการส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าเข้าไปอีก มีทั้งแตงโม มะนาว ส้ม และสับปะรด ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และทำให้แผลหายเร็วอีกด้วยสรุปส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ

ทับทิม
แตงโม
มะนาว
ส้ม
สับปะรด

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากการแกะเมล็ดทับทิมออกจากผล แล้วใส่รวมกันในผ้าขาวบาง บีบคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นำไปคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้นำไปผสมรวมกัน จากนั้นนำไปเขย่ารวมกับน้ำแข็งก้อนใหญ่เพียงชั่วครู่ ก็จะได้เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานที่เย็นจับใจ ดื่มได้ทันที.

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากเปลือกแอปเปิ้ล


ป้องกันมะเร็งไส้ใหญ่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล
ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ


นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูก จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรค จะลดลงได้ประมาณถึงครึ่งพวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมัน คงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ และยังยับยั้งอาการตั้งต้นของโรค และการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วยนักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือก มากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ